วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

มาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกันดีกว่า








เป็นเบาหวานต้องรับประทานอะไร

แม้จะป่วยด้วยโรคเบาหวาน แต่ท่านก็ไม่ต้องอมทุกข์กับการรับประทาน หากรู้หลัก ก็สามารถมีความสุขได้เท่าเดิม เพราะปัจจุบัน ผู้ป่วยเบาหวานสามารถเลือกรับประทานอาหารต่างๆ ได้เช่นเดียวกับคนปกติ

แต่จำเป็นต้องเรียนรู้ว่าจะรับประทานอาหารได้มากน้อยเพียงใด จึงจะไม่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูง การรับประทานข้าวแต่น้อยหรือไม่รับประทานเลยแล้วไปเพิ่มอาหารอย่างอื่น เช่น ผลไม้ เนื้อสัตว์ ในปริมาณมากๆ มิใช่วิธีการปฏิบัติที่ถูกต้อง ทั้งยังอาจทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดสูงอีกด้วย

   วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ผู้ป่วยควรเลือกรับประทานอาหารหลากหลายชนิดเพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วนที่ร่างกายต้องการ โดยเลือกรับประทานอาหารตามกลุ่มต่างๆ ดังนี้

 
    กลุ่มที่ 1 อาหารจำพวก ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง เผือก มัน ถั่วเมล็ดแห้ง 1 ส่วน ประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรต 15 กรัม โปรตีน 3 กรัม ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี
         ข้าวสุก ½ ถ้วยตวง (ประมาณ 1 ทัพพีเล็กในหม้อหุงข้าวไฟฟ้า)
         ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่, เส้นเล็ก ½ ถ้วยตวง (ประมาณ 1 ทัพพีเล็ก)
         ถั่วเขียว, ถั่วดำ, ถั่วแดงสุก ½ ถ้วยตวง
         ข้าวต้ม ¾ ถ้วยตวง (2 ทัพพีเล็ก), วุ้นเส้นสุก ½ ถ้วยตวง
         ขนมจีน 1 จับ, บะหมี่ ½ ก้อน
         ขนมปังปอนด์ 1 แผ่น, มันฝรั่ง 1 หัวกลาง
         ข้าวโพด 1 ฝัก (5 นิ้ว), แครกเกอร์สี่เหลี่ยม 3 แผ่น

   ผู้ป่วยเบาหวาน รับประทานอาหารในกลุ่มนี้ได้เช่นเดียวกับคนปกติไม่จำเป็นต้องงดหรือจำกัดมากเกินไป เพราะข้าวเป็นแหล่งของพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อการทำกิจกรรมหรือแรงงานที่ผู้ป่วยทำในแต่ละวัน เช่น ผู้ป่วยที่อ้วน รับประทานข้าวได้มื้อละ 2 ทัพพีเล็ก ถ้าไม่อ้วนรับประทานข้าวได้มื้อละ 3 ทัพพี เมื่อเลือกรับประทานก๋วยเตี๋ยวหรือขนมปังแล้ว ต้องงดหรือลดข้าวในมื้อนั้นลงตามสัดส่วนที่กำหนด อาหารในกลุ่มนี้รับประทานได้มื้อละ 2-4 ส่วน ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกรับประทานข้าวซ้อมมือหรือขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ขัดสี เพื่อจะได้ใยอาหารเพิ่มขึ้น
    กลุ่มที่ 2 ผักชนิดต่างๆ 1 ส่วน มีคาร์โบไฮเดรต 5 กรัม โปรตีน 2 กรัม ให้พลังงาน 25 กิโลแคลอรี
          แครอท, ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน ½ ถ้วยตวง
          ผักคะน้า,บร็อกโคลี ½ ถ้วยตวง
          ถั่วแขก,ถั่วลันเตา,ถั่วฝักยาว ½ ถ้วยตวง
          น้ำมะเขือเทศ,น้ำแครอท ½ ถ้วยตวง

    อาหารกลุ่มนี้มีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารมาก ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานให้มากขึ้นในทุกมื้ออาหาร โดยเฉพาะผักใบสีเขียวสดหรือสุก รับประทานได้ตามต้องการ ถ้านำผักมาคั้นเป็นน้ำ ควรรับประทานกากด้วยเพื่อจะได้ใยอาหาร ใยอาหารจะช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลและไขมันในอาหารทำให้ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือดลดลง ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานผักวันละ 2-3 ถ้วยตวง ทั้งผักสดและผักสุก
    กลุ่มที่ 3 ผลไม้ 1 ส่วน มีคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี
          กล้วยน้ำว้า 1 ผล, ฝรั่ง ½ ผลใหญ่, ส้ม 1 ผล (2 ½ นิ้ว)
          กล้วยหอม ½ ผล, แอปเปิ้ล 1 ผลเล็ก, ชมพู่ 2 ผล
          มะม่วงอกร่อง ½ ผล, เงาะ 4-5 ผล, ลองกอง 10 ผล
          มะละกอสุก 8 ชิ้นขนาดพอดีคำ, แตงโม 10 ชิ้นขนาดพอดีคำ
          น้ำผลไม้ 1/3 ถ้วยตวง

    ผลไม้ทุกชนิดมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ถึงแม้จะมีใยอาหาร แต่หากรับประทานมากกว่าปริมาณที่กำหนด จะทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้ ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกรับประทานผลไม้ 1 ชนิดต่อมื้อ วันละ 2-3 ครั้งหลังอาหาร ควรหลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน ละมุด หรือผลไม้ตากแห้ง ผลไม้กวน ผลไม้เชื่อม ผลไม้แช่อิ่ม ผลไม้กระป๋อง การรับประทานผลไม้ครั้งละมากๆ แม้จะเป็นผลไม้ที่ไม่หวาน ก็ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงได้
    กลุ่มที่ 4 เนื้อสัตว์ เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน 1 ส่วน มีโปรตีน 7 กรัม ไขมัน 3 กรัม ให้พลังงาน 55 กิโลแคลอรี
          เนื้อหมู, เนื้อวัว ไม่ติดมันและหนัง หั่น 8 ชิ้น (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)
          เนื้อไก่, เป็ด ไม่ติดมันและหนัง หั่น 8 ชิ้น
         ปลาทู (ขนาด 1 ¼ นิ้ว) 1 ตัว, ลูกชิ้น 6 ลูก
         เต้าหู้ขาว ½ หลอด, ไข่ขาว 3 ฟอง

    อาหารกลุ่มนี้ให้โปรตีนเป็นหลัก ผู้ป่วยควรได้รับทุกมื้อ มื้อละ 2-4 ช้อนกินข้าวพูนน้อยๆ และควรเลือกเนื้อสัตว์ชนิดไม่ติดมันและหนัง รับประทานปลาและเต้าหู้ให้บ่อยขึ้น

   
กลุ่มที่ 5 ไขมัน 1 ส่วน มีไขมัน 5 กรัม ให้พลังงาน 45 กิโลแคลอรี          น้ำมันพืช/น้ำมันหมู 1 ช้อนชา, เนย 1 ช้อนชา, กะทิ 1 ช้อนโต๊ะ
         มายองเนส 1 ช้อนชา, เบคอนทอด 1 ชิ้น, ครีมเทียม 4 ช้อนชา
         เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ 6 เมล็ด, ถั่วลิสง 20 เมล็ด
         น้ำนมไขมันเต็ม 240 มล. มีไขมัน 8 กรัม ให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี
         น้ำนมพร่องมันเนย 240 มล. มีไขมัน 5 กรัม ให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี
         น้ำนมไม่มีไขมัน 240 มล. มีไขมันน้อยมาก ให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี

    โยเกิร์ตชนิดครีมไม่ปรุงแต่งรส 240 มล. ปริมาณพลังงานขึ้นกับชนิดของนมที่นำมาทำโยเกิร์ต ถ้าใช้ไขมันเต็ม จะให้พลังงาน 150 กิโลแคลอรี เท่ากับน้ำนม

    น้ำมันทั้งพืชและสัตว์ให้พลังงานเท่ากัน แต่น้ำมันพืชไม่มีคอเลสเตอรอล สำหรับน้ำมันมะพร้าวและกะทิ มีกรดไขมันอิ่มตัวจำนวนมาก ทำให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลในร่างกายเพิ่มขึ้น

    ผู้ป่วยเบาหวานควรเลือกใช้น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ น้ำมันถั่วลิสง และน้ำมันปาล์มโอเลอีน แทนน้ำมันหมูในการประกอบอาหาร นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารทอด แป้งอบที่มีเนยมาก (Bakery Products) และอาหารที่มีกะทิเป็นประจำ

   
กลุ่มที่ 6 น้ำนม 1 ส่วนมีโปรตีน 8 กรัม คาร์โบไฮเดรต 12 กรัม จำนวนพลังงานแตกต่างกันตามปริมาณไขมันในน้ำนมชนิดนั้นๆ
   ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงนมปรุงแต่งรส โยเกิร์ตชนิดครีมปรุงแต่งรสนมเปรี้ยวพร้อมดื่ม เพราะนมเหล่านี้มีการเติมน้ำตาลหรือน้ำหวาน ควรเลือกดื่มน้ำนมพร่องมันเนย น้ำนมไม่มีไขมัน

    ผู้ป่วยเบาหวานรับประทานน้ำหวานหรือขนมหวานได้หรือไม่

     น้ำหวานทั้งชนิดอัดลมและไม่อัดลม น้ำหวานเข้มข้นผสมน้ำ ลูกอมชนิดต่างๆ เหล่านี้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์อื่นๆ นอกจากน้ำตาล ซึ่งไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน เพราะจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นรวดเร็ว ยกเว้นเมื่อผู้ป่วยเบาหวานมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ เริ่มรู้สึกหิวจัด เวียนหัว ตาลาย ควรดื่มน้ำหวานประมาณ ½ -1 แก้ว

    สำหรับขนมหวานจัดอื่นๆ เช่น ทองหยิบ ทองหยอด สังขยา ขนมหม้อแกง ขนมเชื่อม ขนมกวน ขนมหน้านวล ขนมอะลัว เหล่านี้ ควรงด เช่นเดียวกัน

ทำอย่างไรให้อายุยืนเกิน 99 ปี

"ร่วมแรงแข็งขัน ร่วมกันต้านภัย ร่วมใจออกวิ่ง"

"ร่วมแรงร่วมใจ ต้านภัยสังคม นิยมออกกำลังกาย"

"เทิดไท้องค์ราชัน สมานฉันท์ด้วยการวิ่ง"

"ชุมชนเข้มแข็ง ร่วมแรงร่วมใจ ไม่เจ็บไม่ไข้ ร่างกายแข็งแรง"

"ชุมชนเข้มแข็ง ร่วมแสดงพลังวิ่ง ช่วงชิงสุขภาพดี"
10 เงื่อนไข การรักษาสุขภาพดี อายุยืนยาว
1.สำรองผลไม้ในตู้เย็น
       ผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาดได้แก่กะหล่ำปลี แครอทส้ม แอปเปิ้ลซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์มากสำหรับสาวๆที่กำลังไดเอตแล้วการรับประทานผักผลไม้เป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
2.เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้า
       องค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดนบอกว่าการบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชาจะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปากได้เนื่องจากสารโพลีฟีนอลจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของฟันผุส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหารก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้
3. ดื่มน้ำมากขึ้น
       การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5แก้วจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50 % เชียวล่ะ
4.เปลือยเท้าคลายเครียด
       การย่ำเท้าเปล่าไปบนทรายนุ่มๆจะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากการเดินเท้าเปล่าจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
5.รับแสงแดดอ่อน
      มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลยมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดด เนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกาย แต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่าย ๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกันควรรับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็นจะดีกว่า
6.หันมาทานขนมปังโฮสวีทกันเถอะ
      สำหรับมื้อว่างยามบ่ายแทนที่จะไปคว้าคุกกี้หรือเค้กช็อกโกแลต ซึ่งเพียบด้วยแคลอรี่เปลี่ยนมาทานขนมปังโฮลวีทสัก2 แผ่น รับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังวังชาแล้วยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ
7.สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำ
      ใครที่รู้ตัวว่าเริ่มจะหลงๆ ลืมๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่าหรืออาหารเมนูปลารวมทั้งเพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นมถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้
8.เดินไวๆช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง
       คนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายแต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ ลองใช้วิธีเดินให้ไวขี้นอีกนิดอาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้าย หรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้วันละ 20 นาทีจะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรง และยังทำให้หุ่มสลิมสมส่วนเป็นของแถม
9.เติมไขมันดีๆ ให้ร่างกาย
       ไขมันนั้นไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียวเพราะไขมันที่เป็นมิตรกับร่างกายน่ะมีอยู่หลายชนิด หากร่างกายขาดแคลนอาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัวจากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมันโอเมก้า3จากปลาซึ่งเป็นไขมันดีๆที่ไม่เพียงให้พลังงานทำให้มีเรี่ยวแรงแล้วยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย
10. Just Do Nothing
       ลองหยุดภารกินวุ่นๆสักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1ชั่วโมง ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพังจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบเป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจอาจจะฟังเพลงเงียบๆคนเดียวหรืออาบน้ำอุ่นๆ แล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อยๆจิบน้ำชาชมดอกไม้เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจทำให้คุณสดชื่น และมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อและยังห่างไกลจากโรคความรีบร้อนอันหมายถึงโรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง
ยาขนานวิเศษที่ช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยมาเบียดเบียน ..
      1. เต้าหู้
 จากเมล็ดถั่วเหลืองซึ่งจัดว่าเป็นยอดขุนพลของพืชตระกูลถั่ว ถูกแปลงโฉมมาเป็นเต้าหู้หลากหลายรูปแบบ   มีทั้งชนิดก้อน ชนิดหลอด
จะเลือกแบบแข็งหรือแบบนิ่มก็ยังได้ เลือกได้ตามใจชอบกันราคาก็ไม่แพง หาซื้อได้ง่าย แต่ให้คุณค่าสูงอุดมด้วยโปรตีน   เหล็กและแคลเซียม
แต่ ปลอดคลอเรสเตอรอลดร . แอนเดอร์สันแห่งมหาวิทยาลัยเคนตักกี ระบุว่า การกินเต้าหู้เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและยัง ช่วยป้องกันการผิดปกติของฮอร์โมนที่จะก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิดโดยเฉพาะ มะเร็งเต้านมและมะเร็งลำใส้   สำหรับสาวๆที่ต้องการมีผิวพรรณที่สดใสผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรรับประทาน เต้าหู้สัปดาห์ละ   3 ครั้งจัดเมนูอาหารเต้าหู้ไว้บนโต๊ะอาหารทุกวันนอกจากสุขภาพจะดีแล้วผิวพรรณ ก็จะสดใสขึ้นอีกด้วยเห็นไหมคะคุณภาพคับก้อนจริงๆค่ะ
     
     2. มะเขือเทศ
ผล ไม้สีสันสดใสชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดในเม็กซิโกต่อมาได้นิยมปลูกกันอย่างแพร่ หลายในยุโรปแต่กลายมาเป็นพระเอกตัวจริงในอิตาลีชาวอิตาลีจัดได้ว่าเป็นนัก บริโภคมะเขือเทศตัวยงอาหารยอดฮิตของอิตาลีล้วนมีมะเขือเทศเป็นส่วนผสม   สำคัญเคล็ดลับความอร่อยของอาหารอิตาลีจึงอยู่ที่ซอสมะเขือเทศนี่แหล่ะค่ะผล สรุปของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่าการบริโภคมะเขือเทศและผลิตภัณฑ์ จากมะเขือเทศในปริมาณสูงสามารถลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็ง
หลายชนิดได้ โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งในช่องท้อง   เนื่องจากในมะเขือเทศมีสารไลโคพีน(Lycopene)ซึ่งมีฤทธิ์ต้านมะเร็งและโรคที่ เกี่ยวกับทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดีนอกจากนี้วิตามินเอและซีในมะเขือเทศก็ ยังช่วยให้สุขภาพผิวสดใสชนิดที่ไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางราคาแพงกันเลยที เดียว

     3. กินกระเทียม
คง จะคุ้นเคยกันดีสำหรับพืชสมุนไพรชนิดนี้เพราะแทบทุกครัวเรือนต่างมีไว้คู่ ครัว ถ้าศึกษาจากผลงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกแล้ว เราอาจจะต้องเก็บกระเทียมไว้เคียงคู่กับตู้ยาก็เป็นได้ ดร . วาร์โรอี . ไทเลอร์ที่ปรึกษาคณ.เภสัชศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเพอดูเวส ลาฟาเยต พบว่า   กระเทียมมีสรรพคุณเสมือนยาแอส - ไพริน คือทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น   สารอัลลิซินในกระเทียม จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ช่วยให้ระบบการย่อย อาหารและการขับถ่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้นนอกจากนี้การกินกระเทียมเป็นประจำ ทุกวันโรคหัวใจก็ไม่ถามหากันง่ายๆ
 เพราะกระเทียมเป็นตัวช่วยลดปริมาณคลอเรสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี

1.ทุกคนทำร้ายตัวเองด้วยปากและฟันทุกๆ วัน
ประสบการณ์ของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคมะเร็ง ได้ตั้งข้อสังเกตว่าวิธีการรักษาโรคมะเร็งที่แพทย์ส่วนใหญ่ปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะโดยการผ่าตัด หรือการทำเคมีบำบัดนั้น ไม่ใช่วิธีรักษาที่ถูกต้อง เพราะวิธีการดังกล่าวไม่ได้ทำให้คนไข้หายจากโรค ในทางกลับกัน คนไข้มะเร็งยังคงตายไปเรื่อยๆ ในขณะที่จำนวนคนไข้ใหม่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
วิธีรักษาโรคที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นมะเร็ง หรือโรคอื่นๆ ทุกโรค คือ โภชนาบำบัด เนื่องจาก ร่างกายทุกส่วนของมนุษย์ถูกสร้างจากสารอาหารที่เรารับประทานเป็นอาหาร ฉะนั้นร่างกายแต่ละส่วนจะทำงานสมบูรณ์แข็งแรงและสามารถต่อต้านเชื้อโรคต่างๆ ได้ จะต้องได้รับสารอาหารอย่างถูกต้อง เช่น ข้อต่างๆ ของมนุษย์ถูกสร้างจาก โปรตีนและซัลเฟอร์ ฉะนั้นการแก้ปัญหาปวดข้อต่างๆ ในทางโภชนบำบัดจะแนะนำให้ ทานขิงวันละหนึ่งช้อนโต๊ะ ทานขมิ้นแคปซูล 2 เม็ดหลังอาหารทุกมื้อ มะนาวหนึ่งลูกผสมน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว ดื่มหลังมื้ออาหารทุกมื้อเพราะอาหารเหล่านี้มีซัลเฟอร์อยู่มาก และจะต้องงดของหวานเพราะของหวานจะทำให้เลือดเหนียว ไม่สามารถนำสารอาหารไปซ่อมแซมอวัยวะได้ดี
“You are what you eat” ความสมบูรณ์หรือความผิดปกติในร่างกายล้วนสัมพันธ์กับสิ่งที่คนๆนั้นรับประทานเช่น การดื่มกาแฟเข้ม ในตอนเช้า จะทำให้เกิดอาการหิวจนมือสั่น ในเวลาประมาณ 11.00 . ต่อมาประมาณบ่าย 14.00 . จะรู้สึกง่วง งง มึน สมองตื้อ ปวดเมื่อย หงุดหงิด นั่งไม่ติด หรือหากรับประทานของหวานในตอนเที่ยง หลังจากนั้น 2-3 ชม.จะก็เกิดอาการเช่นเดียวกัน อีกตัวอย่างหนึ่งคือถ้ารับประทานของหวานมากๆ หรือของมันมากๆ หลังจากนั้น 48 ชม. จะมีสิวขึ้นรอบปากในรัศมีประมาณ 1 - 2 ซม. ร่างกายเราจะแปรปรวนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอาหารที่เรารับประทาน ภายใน 1 ชม. - 2 วันก่อนหน้า



กล้วย...ลดอันตรายจากความดันเลือด
ผลกล้วยสุกอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ ๓ ชนิด คือ ซูโครส ฟรักโทส และกลูโคส  และมีเส้นใยอาหาร ให้พลังงานทันทีและอยู่ได้นาน เป็นอาหารของแบคทีเรียพวกโพรไบโอติกที่ช่วยการดูดซึมสารอาหารในลำไส้ใหญ่ ผล กล้วยใช้เป็นอาหารได้ทั้งสุกและดิบ ช่อดอกที่เรียกว่าหัวปลีอุดมด้วยคุณประโยชน์ทางโภชนาการ เหง้า ลำต้น ใบ... คุณรู้จักกล้วยแต่เพียงแค่นี้หรือ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Musa sapientum Linn., Musa paradisiaca var sapientum (Linn.)O. Kutze.
ชื่อวงศ์ Musaceae
ชื่ออังกฤษ Banana, Plantain
ชื่อท้องถิ่น Banana ประเทศไทยมีชื่อเรียกต่างๆ ดังนี้ กล้วยไข่ กล้วยใต้กล้วยนาก กล้วยน้ำว้า กล้วยมณีอ่อง กล้วยเล็บมือ กล้วยส้ม กล้วยหอม กล้วยหอมจันทน์ เจก มะลิอ่อง ยะไข่ สะกุย แหลก
Plantain ประเทศไทยได้แก่ กล้วยหักมุก กล้วยหิน
 
กล้วยเป็นพืชล้มลุก ลำต้นอยู่ใต้ดิน เรียกว่า เหง้า ส่วนลำต้นบนดินเกิดจากกาบใบมาหุ้มซ้อนกันเป็นลำต้น ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่และยาว ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ท้องใบมีสีนวล ดอกออกเป็นช่อ เรียกว่า หัวปลี แต่ละช่อย่อยประกอบด้วยใบประดับขนาดใหญ่ที่มีสีม่วงแดงหุ้มอยู่  ผลรวม กันเป็นเครือ แต่ละเครือจะมีหลายหวีมารวมกัน กล้วยมีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันปลูกมากกว่า ๑๓๐ ประเทศทั่วโลก กล้วยแบ่งตามการกินผลออกเป็น ๒ กลุ่ม ดังนี้

กล้วยกินผลสุก มีทั้งกล้วยมีเมล็ดและไม่มีเมล็ด มีทั้งสุกปอกกินได้เลย เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่
กล้วยปรุงผลสุก หรือ plantain ต้องนำผลสุกไปผ่านความร้อนก่อนจึงจะกินได้เช่น กล้วยหักมุก
กล้วยเป็นพืชสารพัดประโยชน์ แต่บทความนี้จะกล่าวถึงประโยชน์ในด้านสุขภาพเท่านั้น
ผลกล้วยเป็นอาหารยอดนิยมอันดับ ๑ ของโลก กล้วยธรรมดาเป็นผลไม้ที่มียอดขายอันดับ ๑ ในโลก กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ เพราะสามารถหาซื้อได้ตลอดปี พันธุ์ที่จำหน่ายคือพันธุ์คลาเวนดิช ปลูกในทวีปอเมริกาใต้ ส่วนประเทศเขตร้อน เช่น ในทวีปอเมริกาใต้และประเทศอินเดียจะใช้ผลกล้วยกลุ่มแพลนเทน (กลุ่มกล้วยหักมุก) ที่มีแป้งมากเป็นอาหารหลักเหมือนที่ชาวยุโรปกินมันฝรั่งเป็นอาหาร และพบว่ามีรสชาติคล้ายคลึงกัน ผลกล้วยอุดมไปด้วยเส้นใยอาหาร ธาตุโพแทสเซียม แมงกานีส วิตามินซี และบี ๖ แต่มีไขมันอิ่มตัว โคเลสเตอรอลและธาตุโซเดียมต่ำ การกินกล้วยสุก ๑ ผล (๑๖๐ กรัม) ให้พลังงาน ๑๔๐ แคลอรี เหมาะสำหรับคนทุกวัย

เซลล์ประสาทสมองและระบบประสาทอื่นๆ ใช้สารเคมีที่เรียกสารนำกระแสประสาท (neurotransmitter) สำหรับการสื่อสารระหว่างกัน สารเคมีเหล่านี้ถูกปลดปล่อยจากปลายเซลล์ประสาทหนึ่งๆ เมื่อได้รับกระแสประสาทเดินทางผ่านช่องว่าง (gap) ไปสู่เซลล์ประสาทอีกเซลล์หนึ่งเพื่อเปลี่ยนสภาพเยื่อหุ้มเซลล์ปลายทางให้ทำ หน้าที่ต่อไป ซีโรโทนินเป็นสารเคมีข้างต้นชนิดหนึ่ง สร้างมาจากกรดอะมิโนทริปโทเฟนซึ่งร่างกายได้มาจากอาหาร  พบซีโรโทนินได้ในสมอง กระแสเลือด และชั้นเยื่อบุกระเพาะอาหารและระบบทางเดินอาหาร
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ งานวิจัยเกี่ยวกับซีโรโทนิน พบว่า สารนี้ควบคุมการนอนหลับ ความอยากอาหาร การควบคุมอุณหภูมิร่างกาย ความยืดหยุ่นของหลอดเลือด การหลั่งฮอร์โมนบางชนิด และการรับรู้ความเจ็บปวด ดังนั้น สารซีโรโทนินจึงเกี่ยวข้องกับร่างกายหลายสภาวะ อาทิ ปวดศีรษะไมเกรน ซึมเศร้า และนอนไม่หลับ ปัจจุบันเป็นที่เชื่อกันทั่วไปว่าอาการซึมเศร้าของคนเรานั้นเกิดจากปริมาณ สารนำกระแสประสาทไม่สมดุล พบว่าการมีสารซีโรโทนินในปริมาณต่ำเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งในการเกิดอาการ ซึมเศร้านี้  ปัจจุบันมีการศึกษาหญิงที่มีอาการซึมเศร้าหลังคลอดบุตร พบว่ากลุ่มที่แสดงอาการซึมเศร้า (post-partum blue) มีปริมาณกรดอะมิโนทริปโทเฟนในสมองต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่แสดงอาการทางคลินิก จึงเป็นข้อมูลสนับสนุนความเชื่อที่ว่า การกินอาหารที่มีกรดอะมิโนทริปโทเฟนจะช่วยลดอาการซึมเศร้าลงได้ส่วนหนึ่ง กล้วยสุกมีกรดอะมิโนทริปโทเฟนในปริมาณสูงกว่าอาหารโปรตีนอื่นๆ จากการสำรวจแบบสอบถามในกลุ่มผู้มีอาการซึมเศร้า พบว่าคนกลุ่มนี้จำนวนมากรู้สึกดีขึ้นหลังการกินกล้วยสุก เชื่อว่ากรดอะมิโนทริปโทเฟนในผลกล้วยถูกเปลี่ยนเป็นสารซีโรโทนินที่ช่วยให้ เกิดอาการผ่อนคลาย ทำให้มีอารมณ์ผ่องใสและรู้สึกมีความสุขนั่นเอง
บทความที่ได้จากมหาวิทยาลัยอะลาบามา ประเทศสหรัฐอเมริกากล่าวว่า นักวิจัยได้พบว่าถ้าบุคคลใดๆ  มีสารซีโรโทนินในปริมาณที่สูงขึ้นจะมีความอยากอาหาร น้อยลง ดังนั้น ถ้ากินกล้วยสุกนอกจากจะอารมณ์ดีแล้วอาจจะช่วยควบคุมอาหารได้อีกด้วย ถ้าคุณมีรูปร่างที่ดีสมส่วนคุณคงจะไม่ซึมเศร้าอีกอย่างแน่นอน เมื่อร่างกายมีสารซีโรโทนินมากขึ้น นอกจากจะรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็จะเกิดอาการง่วงนอน ดังนั้น การกินกล้วยน้ำว้าสุกเป็นของว่างหลังอาหารเย็นก็อาจช่วยให้บางคนเอาชนะอาการ นอนไม่หลับได้
ผลกล้วยสุกกับความดันเลือดสูง
การศึกษาด้านระบาด วิทยาและการป้องกันโรคจำนวนมากพบว่า การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมมีผลลดค่าความดันเลือด องค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกาได้ประกาศแล้วว่า "อาหารที่มีโพแทสเซียมสูงและมีโซเดียม (เกลือ) ต่ำ อาจลดความเสี่ยงจากโรคความดันเลือดสูงและหลอดเลือดแตกได้" กลุ่มผู้มีความดันเลือดสูงที่ได้รับโพแทสเซียมมีความดันเลือดที่ลดลงทั้ง ความดันช่วงบน (ไดแอสโตลี) และช่วงล่าง (ซิสโตลี)

แหล่งของโพแทสเซียมที่ดีที่สุด คือ ได้มาจากอาหาร โพแทสเซียมช่วยการทำงานของหัวใจและควบคุม สมดุลของน้ำในร่างกาย ผู้ที่มีน้ำหนักเกินมักดื่มกาแฟ กินแป้งและอาหารหวาน  และมักจะเป็นโรคความดันเลือดสูงในเวลาต่อมา บุคคลเหล่านี้ขาดโพแทสเซียมทำให้ร่างกายสะสมกรดส่วนเกินและสารพิษต่างๆ ไว้ กรดส่วนเกินเหล่านี้ขัดขวางการย่อยและการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ผู้ที่ร่างกายมีปริมาณโพแทสเซียมต่ำมักมีปริมาณโซเดียมสูง ถ้ากินเกลือและอาหารเค็มมากเท่าไร ก็ควรจะต้องได้รับโพแทสเซียมมากขึ้นกว่าคนอื่น โพแทสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติ ควบคุมการส่งออกซิเจนไปยังสมอง และรักษาสมดุลน้ำในร่างกาย เวลาเกิดอารมณ์เครียด อัตราการเผาผลาญของร่างกายจะสูงขึ้นและทำให้ระดับโพแทสเซียมลดลง การกินอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะช่วยให้ร่างกายเกิดความสมดุล บุคคลหนึ่งๆ มีความต้องการโพแทสเซียมประมาณวันละ ๒,๐๐๐ มิลลิกรัม กล้วยหอม ๑ ผล มีโพแทสเซียมประมาณ ๖๐๐ มิลลิกรัม
ปัจจุบันองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา ยินยอมให้อุตสาหกรรมผู้ปลูกกล้วยสามารถโฆษณาได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้พิเศษช่วยลดอันตรายอันเกิดจากเรื่องความดันเลือดหรือโรคหลอด เลือดแตกได้
กล้วยกับเบาหวานและการควบคุมน้ำหนัก
ดรรชนี ไกลซีมิก (glycemic index หรือ GI)  คือ การจัดอาหารคาร์โบไฮเดรต โดยดูผลต่อการตอบสนองของปริมาณน้ำตาลในเลือดที่มีต่ออาหารนั้นๆ นับเป็นค่า ชีวภาพของคาร์โบไฮเดรตในเชิงโภชนาการ เทียบกับค่าที่ได้จากน้ำตาลกลูโคสหรือขนมปังขาวที่มีน้ำหนักเท่ากัน อาหารที่ให้ค่าดรรชนีไกลซีมิกต่ำมีอัตราการดูดซึมกลูโคสช้ากว่าอาหารที่มี ค่าดรรชนีไกลซีมิกสูง การกินอาหารที่มีค่าดรรชนีไกลซีมิกต่ำจะทำให้การควบคุมกลูโคสในกระแสเลือดดี ขึ้นของกลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน และลดปริมาณไตรกลีเซอไรด์ในซีรั่มของผู้ที่มีไตรกลีเซอไรด์สูง จะเห็นว่าถ้ากินกล้วยหรือแอปเปิ้ลเป็นอาหารว่าง จะเกิดการดูดซึมน้ำตาลที่เป็นไปอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน เป็นอาหารว่างที่ดีสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เพิ่มปริมาณทริปโทเฟนในกระแสเลือดทำให้ลดความอยากอาหารและผ่อนคลาย และปริมาณเส้นใยอาหารจะช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น และระยะยาวอาจมีผลต่อการควบคุมน้ำหนักถ้าปฏิบัติร่วมกับการออกกำลังอย่าง สม่ำเสมอ

ประเทศอินเดียให้ผู้ป่วยเบาหวานกินผลกล้วยดิบ และหัวปลีปรุงสุก
กล้วยกับโรคระบบทางเดินอาหาร
ผงแป้งกล้วยน้ำว้าดิบ ใช้แก้อาการท้องเสีย อาหารไม่ย่อย ลมในกระเพาะอาหาร ป้องกันการเกิดแผลกระเพาะอาหารและอาการกรดสะสมในร่างกาย  ผลสุกรักษาสมดุลของระบบทางเดินอาหารและเป็นยาระบายอย่างอ่อน รักษาอาการอักเสบของลำไส้ใหญ่ และโรคทางทวาร ผลกล้วยสุกงอมกินก่อนนอนครั้งละ ๒ ผล ติดต่อกันหลายๆ วัน ช่วยระบาย ประเทศอังกฤษ การศึกษาฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลกระเพาะอาหารจากกล้วยกลุ่มแพลนเทน (กล้วยหักมุก) ดิบ พบว่า สารออกฤทธิ์กลุ่มฟลาโวนอยด์ เรียกลิวโคไซยาไนดิน (leucocyanidin) สารลิวโคไซยาไนดินและอนุพันธ์สังเคราะห์ของมันเพิ่มความหนาของเนื้อเยื่อ เมือกอย่างมีนัยสำคัญ ป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหารจากการกัดทำลายของแอสไพรินในสัตว์ทดลอง นอกจาก นี้ การศึกษาที่ประเทศอินเดียพบว่าสารสกัดเมทานอลจากผลแพลนเทนดิบป้องกันการเกิด แผลกระเพาะอาหารโดยการเพิ่มปริมาณไกลโคโปรตีนและการแบ่งตัวเพิ่มของเซลล์อีก ด้วย

วิธีทำผงแป้งกล้วยดิบ : นำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ปั้นลูกกลอนกับน้ำผึ้ง กิน ๓ เม็ดก่อนอาหารและก่อนนอน รักษาอาการท้องเสีย ท้องเดิน แผลกระเพาะอาหาร หรือใช้กล้วยดิบทั้งเปลือก ฝานบางๆ ผึ่งลมให้แห้ง ใช้กินครั้งละครึ่งถึง ๑ ผล เมื่อกินยานี้แล้วอาจ  มีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ซึ่งแก้ได้โดยดื่มน้ำขิงหรือสมุนไพรขับลมอื่นๆ
กล้วยกับเลือดจาง
กล้วยมีธาตุเหล็กกระตุ้นการสร้าง เฮโมโกลบินช่วยแก้ปัญหาเลือดจาง และให้พลังงานกรณีที่ผู้ป่วยอ่อนแรง ประเทศอินเดียให้ผู้ป่วยกินกล้วยสุก ๒ ผลในวันที่ ๑ วันถัดมาให้ ๓ ผล วันที่ ๓ ให้ ๔ ผล จนวันที่ ๑๕ ให้ ๑๖ ผล จากนั้นลดจำนวนกล้วยลงวันละ ๒ ผล จนเหลือกินวันละ ๒ ผล อาการจะหมดไป

กล้วยกับพลังทางเพศ
จากรายงานของ ต่างประเทศเชื่อว่า การกินกล้วยหอมจะช่วยเสริมพลังทางเพศ เนื่องจากโพแทสเซียมเสริมการทำงานของประสาทและกล้ามเนื้อ และมีวิตามินบี ๖ ซึ่งเป็นสารจำเป็นสำหรับการสร้างสารนำกระแสประสาทสมองอีกด้วย
สรุปคำบรรยายจากแพทย์แผนจีน
xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:office:office" />xml:namespace prefix = o />xml:namespace prefix = o />xml:namespace prefix = o />xml:namespace prefix = o />
เมื่อชีวิตสุขสบาย ต้องไม่ไป (ตาย) ก่อน 99

                        ทุกคนอยากมีชีวิตสุขสบายไร้โรคา ท่านทั้งหลายมาฟังการบรรยายก็มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน ผมขอถามว่า อายุขัยของคนเราสูงสุดคือเท่าไร บางคนบอกว่าสูงสุด 150 ปี  ต่ำสุด 120 ปี ซึ่งไม่ถูก มนุษย์เรามีระยะเจริญเติบโต 20-25 ปี อายุขัยเป็น 5-7 เท่าของระยะเจริญเติบโต คือต่ำสุด 100 ปี สูงสุด 175 ปี การจะอยู่ถึงร้อยปีไม่ใช่ฝันอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอยู่ถึงขนาดนั้นหรือไม่
                                จะอยู่ร้อยปีก่อนอื่นต้องมีสุขภาพดี แล้วสุขภาพดีมาจากไหน?  มาจากพื้นฐาน 4 ประการในชีวิตประจำวัน  ประการแรก คือภาวะจิตที่สงบสุข ประการที่สอง คือรับโภชนาการที่สมดุล ประการที่สามคือออกกำลังกายพอเหมาะ ประการที่สี่คือนอนหลับเพียงพอ โดยปรกติแล้ว ประการที่สี่ชักจูงให้งดบุหรี่และเหล้า ผมขอแก้เป็นนอนหลับเพียงพอ ดั่งที่โบราณท่านว่า อดนอนทุกวัน ชีวิตสั้นไป 10 ปี
พื้นฐานสุขภาพ 4 ประการ ต้องเรียงตามลำดับ สมัยนี้มีบทความมากมายเขียนถึงเรื่องนี้      แต่ถ้าไม่พูดถึงภาวะจิตใจเป็นประการแรก  แสดงว่าผู้เขียนไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว เพราะแพทย์แผนจีนจัดภาวะจิตใจเป็นอันดับหนึ่งในการบำรุงสุขภาพ  กล่าวคือ ภาวะจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และผลพวงต่างๆ เกิดจากพฤติกรรม มองในแง่สรีระ คนเราอยู่ได้โดยอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลออกใบมรณะบัตร มักจะระบุสาเหตุการตายว่า หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย เป็นต้น ถ้าผู้ป่วยตายด้วยเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แสดงว่าเลือดเข้มข้นสกปรก แต่เลือดฟอกมาจากตับ แสดงว่าตับหมดสมรรถภาพในการฟอกพิษหรือกลั่นกรองเลือดให้บริสุทธิ์   ไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้อุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนมาก ก่อนหัวใจวายมักจะบันดาลโทสะซึ่งเป็นสาเหตุทำลายการทำงานของตับด้วย เพราะฉะนั้น โปรดจำไว้ว่า อย่าโมโหโทโสซึ่งไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ เลย นอกจากทำลายร่างกายเท่านั้น ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน หัวเราะสามเวลา ห่างไกลโรคและยา หัวเราะสามเวลา หมอต้องผูกคอลา 
                                ทีนี้มาพูดเรื่องโภชนาการ อักษรจีนต้องเขียนตามลำดับก่อนหลัง ภาษาก็เช่นเดียวกัน เราพูดวา ดุลยภาพแห่งโภชนาการหมายความว่า ดุลยภาพต้องมาก่อน โภชนาการจึงตามหลังมา WHO เตือนเราว่า คนเราเกิดโรคมาจากสาเหตุ (1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม (2) กินอาหารไม่สมดุล หมายรวมถึงมากเกินและขาดแคลน นั่นคือ ไขมันมากเกิน แต่แร่ธาตุและวิตามินขาดแคลน สรุปคือ ไม่รู้จักกิน ทำให้เกิดโรค
                                อยากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร คำตอบคือ (1) เพื่อดำรงชีพ (2) เพื่อป้องกันโรค (3) เพื่อรักษาโรค บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้ ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน 
แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน
ขั้นตอน 1 รักษาด้วยอาหาร หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 2 กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวดและดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 3 ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 4  ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 5 ใช้ยา ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันทีที่คนไข้มาหา เป็นยาย่อมมีพิษ  คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด
Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า จงกินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหารจีนโบราณก็มีคำกล่าวว่าใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายา แต่ทุกวันนี้มันกลับกันหมด
เรากินอาหารวันละ 3 มื้อ กินเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่? เราอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5 พลังงานของอวัยวะได้มาจากการกิน แต่ทุกวันนี้เรากินตามใจและปาก ชอบอะไรก็กินมันทุกวัน อวัยวะทั้ง 5 ก็เหมือนกับคน มีรสนิยมแตกต่างกัน ตับชอบกินสีเขียว หัวใจชอบกินสีแดง ม้ามชอบกินสีเหลือง ปอดชอบกินสีขาว ไตชอบกินสีดำ คำว่าดุลยภาพหมายถึงกินหลากหลายชนิด
                                แพทย์แผนจีนใช้วิธีมอง ฟัง ดม ถาม แมะ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ในที่นี้ก็รวมทั้งการมองดูสี ทั้ง 5 บนใบหน้านั่นเอง ตัวอย่างเช่น ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง ม้ามมีปัญหา  สีหน้าจะออกเหลือง คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ ดังที่กล่าวแล้ว ถั่วเขียวเหมาะสำหรับบำรุงตับ เพื่อให้ตับขับพิษออกจากร่างกาย แต่ก็ต้องกินให้ถูกวิธี คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกคือต้มให้น้ำเดือดประมารณ 5-6 นาทีก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด รินเอาน้ำออกซึ่งจะได้น้ำถั่วเขียวที่มีสีเข้มข้นที่สุด ดื่มแล้วมีสรรพคุณขับพิษสูงสุด จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำต้มต่อจนเละกินเป็นอาหาร หัวใจชอบสีแดงให้กินถั่วแดง ม้ามชอบสีเหลืองให้กินถั่วเหลือง ปอดชอบสีขาวให้กินถั่วขาว ไตชอบสีดำให้กินถั่วดำ ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว? เพราะตำรายาจีนมีคำว่าคนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุขโภชนาการแผนจีนก็เน้นว่ากินไม่พ้นถั่วขอยกตัวอย่างไม่ค่อยสุภาพ ในชนบทเขาใช้ถั่วดำเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้ไตแข็งแรงมีกำลังวังชา สามารถทำงานหนักเตะปี๊บดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุภาพสตรีควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต เพราะนอกจากเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง 5 แล้ว ในถั่วยังมีสารที่กระตุ้นการทำงานของรังไข่
ต่อไปจะพูดถึงรสชาติ เปรี้ยวบำรุงตับ ขมบำรุงหัวใจ หวานบำรุงม้าม เผ็ดบำรุงปอด เค็มบำรุงไต หมายความว่า ต้องกินให้ครบทุกรสชาติอย่างละนิด ให้เกิดสมดุล เช่นรสเปรี้ยวบำรุงตับ กินมากตับพัง จีนเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคตับมาก ในจีนเองต้องยกให้มณฑลซันซีครองแชมป์โรคตับ เพราะคนที่นั่นชอบกินน้ำส้มสายชู รสเผ็ดบำรุงปอด กินมากปอดพังเช่นกัน สถิติกระทรวงสาธารณสุขจีนปีที่แล้วระบุว่า ชาวเสฉวนและชาวหูหนันที่อพยพจากจีนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ นำเอานิสัยชอบกินพริกติดตัวไปด้วย นานวันเข้าเป็นโรคมะเร็งในปอดตามๆ กัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ภาคใต้อากาศชื้น กินเผ็ดป้องกันความชื้นได้ แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง กินเผ็ดมากจะทำลายปอด พึงจำไว้ว่า ใครอยู่ถิ่นไหนให้กินของถิ่นนั้น ไม่ใช่ว่ากินของได้ทั่วทุกถิ่น

                                กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ ง่ายนิดเดียว มีหลักการจำดังนี้ สีสัน หยาบ-ละเอียด ดิบ-สุก คาว-เจหมายความว่า กินอาหารต้องคละกันหลากสีและรสชาติ หยาบแข็งควบคู่กับละเอียดนิ่ม สุกควบคู่กับดิบ คาวควบคู่กับเจ ขอแนะนำว่า แต่นี้ไปให้กินผักดิบผลไม้สดแต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า
                        สุดท้ายจะพูดถึงยาบำรุง เราไม่ต้องเสียเงินมากมายซื้อยามาบำรุงร่างกาย ผักและผลไม้มีวิตามินสูง ถ้ากินให้ถูกวิธี ก็สามารถดูดซึมวิตามินเพียงพอต่อร่างกาย  สิ่งที่ต้องการคือแคลเซียม ผู้หญิงควรกินแคลเซียมวันละ 3000 มก. ขึ้นไป ผู้ชายกินวันละ 4000 มก. ขึ้นไป พร้อมกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คนทั่วไปมักเข้าใจผิด คิดว่าแคลเซียมใช้สำหรับรักษาโรคไขข้ออักเสบ ที่จริงแล้วแคลเซียมช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียน นอกจากนั้น ยังป้องกันเส้นโลหิตแข็งตัว ดังนั้น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นโลหิตอ่อนตัว ความดันก็จะลดตาม ยาลดความดันก็ไม่ต้องกินมาก
ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน อยากให้ร่างกายดี กินอาหารถูกวิธี อยากให้สุขภาพเยี่ยม อย่าลืมกินแคลเซียม อย่าลืม อาหารต้องมาก่อนยา เป็นโรคอย่าพึ่งแต่ยา พึงใช้ยาในยามวิกฤติเท่านั้น ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา โรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือห้องครัว ยาที่ดีที่สุดคืออาหารมีคุณค่า การรักษาที่ดีที่สุดคือเวลา หมายความว่า ตัวคุณเองต้องรู้จักรักษาตัวเอง ห้องครัวในบ้านคุณเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ยากับอาหารมีความหมายเดียวกัน กินอาหารให้ถูกต้องก็คือยาที่ดีที่สุด การรักษาต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่ทดลองแล้วก็หยุด หรือเปรียบเสมือนใช้อวนจับปลา 3 วัน แล้วก็ตากอวนหยุดจับปลา 2 วัน ต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี
                ท้ายที่สุด ผมขอแนะนำดังนี้
หลังจากฟังคำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
เขียนข้อความ ก่อนถึงเก้าสิบเก้า ห้ามเข้า(โลง)เด็ดขาดติดไว้หน้าเตียง เพื่อเตือนตัวเองกินให้ถูกวิธี
ก่อนลาจาก ขอให้เราทุกคนตะโกน ยืนหยัดไม่ไป (ตาย) ก่อนอายุ 99

นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน กับประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเอง
             กับประสบการณ์รักษามะเร็งหายได้ด้วยตัวเองปีนี้คุณหมออารีย์มีอายุได้ ๗๗ ปีแล้ว เป็นคนร่างเล็ก ผิวพรรณดีหน้าตาแจ่มใสดูราวคนอายุ ๕๐ ต้น ๆหลายปีก่อนท่านป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย คุณหมอเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ในชนบท และตั้งใจสู้ชีวิตครั้งใหม่ ต่อสู้กับมะเร็งด้วยการไม่ผ่าตัด ไม่ฉายรังสี ไม่ยอมให้คีโม แต่ใช้แนวทางแบบธรรมชาติบำบัด โดยการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้กลับไปสู่ธรรมชาติให้มากที่สุดคุณหมอปฏิบัติตัวสม่ำเสมอ ตั้งแต่การเลือกกินอาหารเฉพาะผัก ผลไม้การกินวิตามินเสริม การออกกำลังกาย การล้างพิษ การพักผ่อน ทำตัวให้อารมณ์ดีไม่เครียด มองโลกในแง่บวกความตั้งใจที่จะมีชีวิตต่อไป และที่สำคัญคือกำลังใจจากครอบครัว
สามเดือนผ่านไปคุณหมออารีย์รอดพ้นความตายจากมะเร็งทุกวันนี้คุณหมอใช้ชีวิตในบ้านไร่แห่งหนึ่งของจังหวัดสกลนคร คอยให้ความช่วยเหลือชาวบ้านยากจนที่ป่วยเป็นมะเร็งในขณะที่มีผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายจากทั่วประเทศหลายคนเดินทางมาหาท่าน คุณหมออารีย์บอกว่าคนเป็นมะเร็งส่วนใหญ่จิตใจจะห่อเหี่ยว และสิ้นหวัง แต่การรักษามะเร็งนั้นจิตใจสำคัญที่สุดเราต้องทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป แต่ยอมรับว่าโอกาสที่ผู้ป่วยมะเร็งจะหายได้นั้นท่านช่วยได้เพียงครึ่งเดียว คือการจัดหาวิตามิน เกลือแร่ชนิดต่าง ๆที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างภูมิต้านกินส่วนอีกครึ่งหนึ่งขึ้นอยู่กับตัวคนไข้เอง ที่จะยอมปฏิบัติตามแนวทางการรักษา ๗ อ ของท่านหรือไม่ ๗ อ ที่ว่านี้ คือ ควบคุมอาหาร เอาพิษออกจากร่างกาย อารมณ์ดี ไม่เครียดสูดอากาศบริสุทธิ์   เอนกายหรือการพักผ่อนให้เพียงพอและ อิทธิบาทสี่ ผู้ป่วยมะเร็งหลายคนที่ได้รับคำแนะนำจากคุณหมอ หลายคนเสียชีวิตแต่หลายคนที่ปฏิบัติอย่างจริงจังอาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ คุณหมอบอกกับเราว่ามะเร็งไม่เคยให้โอกาสกับใครเป็นครั้งที่ ๒ ขณะที่มะเร็งกำลังเป็นโรคฮิตที่ไต่ขึ้นอันดับหนึ่งในยุคปัจจุบันลองพิจารณาบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ แล้วคุณอาจจะรู้ว่า จะเริ่มต้นดูแลสุขภาพอย่างจริงจังของคุณและคนใกล้ชิดอย่างไร

- คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหนครับ
ผมเป็นหมอผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ     ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ดมาเป็นเวลา ๓๐ ปี

- ทำไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย
ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย ทีแรกนึกว่าเป็นนิ่วปัสสาวะมันขัด พอไปเอกซเรย์ดู ต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่ และอยากกลับมาอยู่ป่า เพราะอยู่ป่าคอนกรีตมา ๓๐กว่าปีแล้วตอนเป็นมะเร็งหนัก ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กำลังใจตอนนั้นผมคิดว่าคงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์พอลูกเตือนสติว่า ไหนป๋าบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปีให้ได้ ป๋าผิดคำพูดสู้ไม่จริง ...นั่นแหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหม มะเร็งไม่เคยให้โอกาสคนครั้งที่ ๒ ผมไปซื้อรองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคิดว่าจะแก้เรื่องเครียดยังไง เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งทีเดียว คิดไม่ออก นอนปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรือเปล่า ใครจะไปบอกเพราะผมอยู่ในป่าคนเดียวจนกระทั่งคิดหาวิธีแก้เครียดได้ คือการคิดแบบตรงกันข้าม เช่นมีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียด ถือเสียว่าได้ชดใช้กรรมกันในชาตินี้ เพราะชาติที่แล้วกูไปลักของเขามา หรือมีคนด่าเรา ถือเราได้บุญเพราะช่วยให้คนที่ด่าเราหายเครียด ได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้อย่างนี้ตอนหลังคิดอะไรเป็นตรงกันข้ามหมด คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกนะ และแม่เรายังอยู่เราจะตายก่อนแม่ได้อย่างไร และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง แต่เราเป็นหมอจะมาตายกับโรคโง่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้ เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้วถ้าเรายังแก้ไม่ได้ เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต ฝึกจิตให้ได้เริ่มคิดไปในทางบวก อะไรก็ดีหมดทุกอย่าง
- เมื่อคนไข้หายเครียด มองโลกในแง่บวก ทำไมร่างกายจึงดีขึ้นหากท่านสามารถทำให้จิตของท่านมองโลกในทางบวก หรือทำให้จิตของท่านมีสมาธิ ตัวจิตนี้จะไปกระตุ้นต่อมพิทูอิตารี ให้หลั่งโกรทฮอร์โมนมาพวกนี้เป็นฮอร์โมนที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ ต่อมแอดดินอล ให้ขับแต่ฮอร์โมนชนิดดี ๆออกมาเพื่อจะไปกระตุ้นให้อวัยวะต่าง ๆทำงาน จนกระทั่งต่อมต่าง ๆ ที่ผลิตภูมิต้านกินหรือเม็ดเลือดขาวทำงานได้เต็มที่ คือมันเริ่มมาจากจิต เมื่อจิตคิดดีทำดี หรือสามารถทำสมาธิได้สมองส่วนนี้ก็จะขับฮอร์โมนที่เป็นประโยชน์ออกมาทันทีแต่ถ้าจิตมองโลกในทางลบสมองส่วนนี้แทนที่จะไปกระตุ้นให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนชนิดดีออกมา มันไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้ผลิตฮอร์โมนอะดรินาลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียด ทำให้ผลิตเม็ดเลือดขาวที่อ่อนแอออกมา แล้วอย่าลืมว่าโกรทฮอร์โมนประกอบไปด้วยกรดอะมิโน๑๙๑ ชนิด แต่ท่านไม่ต้องเที่ยวหาซื้อกรดอะมิโนพวกนี้มากิน มันอยู่ที่ตับเราสามารถสังเคราะห์ได้หมด การที่จีนฝังเข็มหรือกดจุดก็เพื่อต้องการให้ตัวนี้หลั่ง คนไข้จะได้ไม่เจ็บปวด

- มะเร็งนี่ถือว่าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย
ใช่ครับ แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด ไม่ยอมคนเหี้ยมมากจนลือชื่อเลย ผมได้คิดว่าความเหี้ยม สิ่งแวดล้อม บวกกับการกินอาหารซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอดทำให้ผมเป็นมะเร็งแต่พอป่วย เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้จิตต้องเปลี่ยนนิสัยการกินต้องเปลี่ยนอย่างเด็ดขาด เท่านั้นแหละ ดีวันดีคืน ค่ามะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑ ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง ผมรักษาตัวอยู่ ๓เดือนกว่า หายเลย โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น โรคเกาต์ที่ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลยคือเราไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแต่ผัก ผลไม้ เกลือแร่และวิตามิน ผมอยู่ในป่า อาหารที่กินประจำคือข้าวกล้องและใบบัวบก บางทีก็มีคนซื้อกล้วย ซื้อส้มมาฝากบ้าง

- ทำไมจึงกินเฉพาะข้าวกล้องกับใบบัวบกครับเพราะแถวนั้นไม่มีอะไรจะกิน เราอยู่คนเดียวในป่า ผมอ่านหนังสือเจอว่าคนอายุยืนที่สุดในโลกเป็นคนจีน ชื่อศาสตราจารย์ลียุนชุง เกิดปี ค.ศ. ๑๖๗๗ ตายเมื่อปี ค.ศ. ๑๙๓๓ เขากินมังสวิรัติ ที่กินอยู่เป็นประจำคือโสมจีนและใบบัวบก ตอนอายุ ๒๐๐ ปียังไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยซินเกียง ๒๘ครั้ง ท่านเสียชีวิตตอนอายุ ๒๕๖ ปี หน้าตาท่าทางเหมือนกับคนอายุ ๕๐ปีแค่นั้น ท่านบอกว่าเป็นเพราะอาหารและความไม่เครียด ตามจริงถ้าจะรักษามะเร็ง กินแค่นั้นไม่ได้ ต้องกินวิตามินจำนวนมากช่วยด้วย แต่ว่าจิตเราได้ เราต้องอยู่เพื่อแม่นะ จิตเราต้องสู้นะ วันนี้เดิน ๑๐ ก้าว พรุ่งนี้ต้องเดิน ๑๕ ก้าวให้ได้ มะรืนนี้ต้อง ๒๐ ก้าวให้ได้ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝึกหายใจนะ อยากจะมีชีวิตอยู่อยากจะหายแต่ก่อนมีความคิดว่าตายเมื่อไหร่ก็ช่างมัน ทรมานเหลือเกิน ไม่รู้อยู่ทำไมมีแต่สิ่งไม่ดีในโลกนี้เบื่อหน่ายเหลือเกิน คือมองไปทางไหนก็เป็นลบหมด เดี๋ยวนี้มองอะไรเห็นเป็นสีชมพู สีเขียว สดชื่นไปหมด คนด่าก็ยิ้ม มีความสุข ฉะนั้นทุกวันนี้ผมมองโลกในแง่บวกมะเร็งทำให้เราคิดว่า การสู้กับมะเร็งใครชนะมะเร็งได้ เหมือนคนนั้นตรัสรู้แล้ว พออาการมะเร็งเริ่มดีขึ้น ๆรู้ทันทีว่าทำไมจิตใจเราเห็นอะไรดีไปหมด ผมไปสะดุดมีดสะดุดพร้า เท้าแหกเลย เรายังขอบคุณมันที่ช่วยเตือนสติว่าจะเดินไปไหนต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว ทีหลังอย่าซุ่มซ่ามแบบนั้นคิดเสียว่าเป็นมะเร็งก็ดีนะ ถ้าไม่เป็นมะเร็งเราคงเป็นคนเหี้ยมโหดเหมือนเก่า

- คุณหมอรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนหายเลยใช้วิธีคุมการกินอาหารและไม่เครียด...ใช่ไหมครับอาหารเราต้องงดเนื้อสัตว์เด็ดขาดเลย งดอาหารปรุงแต่ง เนื้อปลาก็ไม่กิน ในช่วงนั้นเราต้องถนอมตับที่สุด เพราะตับเป็นอวัยวะที่เป็นฐานทัพใหญ่ ถ้าตับเราไม่ดี เสร็จเลยร่างกายจะฟื้นไม่ได้ ตับสำคัญที่สุด วิธีถนอมตับคืออย่ากินมาก อย่าสะสมพิษให้ตับทำงานหนักอย่าท้องผูก กินอาหารโปรตีนเข้าไปเยอะ ๆ ตับก็ทำงานหนัก เมื่อตับเราดี มันสามารถช่วยอย่างอื่นหมดไตก็ผลพลอยได้ประโยชน์ด้วย เดี๋ยวนี้หน้าตาเราสดใส เมื่อก่อนหน้าตาเราโทรมดังนั้นความเครียดจึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องจัดการให้ได้

- หากแก้ปัญหาเรื่องเครียดได้แล้ว โอกาสหายจากมะเร็งก็สูงขึ้นก็เราเคยเห็นคนบ้าเป็นมะเร็ง เป็นเบาหวาน ความดัน หรือท้องเสียไหมล่ะขนาดเขาหาของกินจากถังขยะ เคยเห็นคนบ้าเป็นมาลาเรียหรือไม่ แต่อย่าไปตรวจเลือดนะเชื้อมาลาเรียเต็มเลย แต่เชื้อทำอะไรเขาไม่ได้ เชื้อโรคเหล่านี้ความจริงมันเป็นเพื่อนเรา ฉะนั้นจิตเป็นเรื่องสำคัญ ทำอย่างไรไม่ให้เครียดมีแม่ชีคนหนึ่งมาพบผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายแล้ว ทีแรกบวชเพราะต้องการทำสมาธิ แต่ทำไม่ได้ คอยแต่คิดถึงกิจการโรงงานที่กรุงเทพฯ ห่วงลูกที่ยังเรียนหนังสือ ผมบอกว่าปล่อยวางซะเถอะครับตัดเรื่องเครียดอะไรได้ ตัดเถอะ จากเดิมที่อาการหนักใกล้จะเสียชีวิตอยู่แล้วเพราะเป็นมะเร็งที่เต้านม แล้วเข้าปอด เข้าสมองแล้ว พูดก็เบลอ ๆ ปรากฏว่าตอนหลังปฏิบัติเรื่องจิตได้ ไม่เครียดตอนนี้หาย ไม่มีอาการอะไรเลย เห็นว่าครั้งหลังสุดไปทำสแกนดูปรากฏว่าเซลล์มะเร็งหดลงแทบมองไม่เห็นแล้ว สุขภาพก็ดี ตอนนี้จิตเขาสบายมากเลย

- หลักการรักษามะเร็งของคุณหมอนอกจากเรื่องความเครียดแล้ว ยังมีอะไรอีกบ้างวิทยายุทธ์ที่เราจะสู้กับมะเร็งอันดับแรก คือ หยุดการขยายตัวของมะเร็งด้วยการควบคุมอาหารอย่างแรกคือลดไขมันให้น้อยที่สุดเพราะไขมันเป็นอาหารอันดับหนึ่งที่มะเร็งชอบที่สุด ตามปรกติในข้าว พืชผักทุกชนิด มีไขมันเพียงพออยู่แล้ว ที่เราเกิดโรคภัยไข้เจ็บทุกวันนี้เพราะไขมันเกิน ไขมันที่เรากินทุกวันมันเกิดออกซิไดซ์เป็นอนุมูลอิสระหมดแล้วเพราะการสกัดไขมันเราใช้ความร้อน พอถูกความร้อน ไขมันมันเสีย และไขมันที่ใช้แล้วใช้อีกยิ่งหนักเข้าไปอีกอย่างพวกปาท่องโก๋ กล้วยแขก พวกนี้เป็นสารก่อมะเร็ง คนอ้วนเวลาเป็นมะเร็งจะลามเร็วมากเพราะมันได้อาหารมะเร็งเหมือนต้นไม้เรา อยากให้ต้นไม้หยุดการเจริญเติบโต เราต้องหยุดให้น้ำหยุดให้ปุ๋ยมันจะชะงัก ใบร่วงเลย แต่ต้นไม่ก็ยังไม่ตาย มนุษย์เราเหมือนกัน อย่าให้อาหารที่มะเร็งชอบอาหารอย่างต่อมาที่ต้องลดคือโปรตีนจากเนื้อสัตว์และพืชโดยเฉพาะถั่วเหลืองเมื่อเรากินโปรตีนเข้าไปมาก และร่างกายนำโปรตีนไปเผาผลาญเป็นพลังงานแล้วจะเกิดของเสียคือแอมโมเนีย ตัวนี้เป็นตัวร้าย มันเวียนกลับไปทำให้ตับต้องทำงานหนักเพื่อเปลี่ยนเป็นยูเรียออกมาทางไตเป็นส่วนมากและออกมาทางลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระมีกลิ่นเหม็น พิษจากลำไส้ใหญ่จะถูกดูดซึมกลับเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้ระบบทุกอย่างในร่างกายขัดข้องหมดเลยคนท้องผูกจะหงุดหงิดอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นตับกับไตทำงานหนักเพราะกินโปรตีนเข้าไป โดยเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งในตับต้องระวังที่สุด

- ฝึกอย่างไรให้เป็นคนมองโลกในแง่บวกคนที่เคยเครียดมาแล้ว จะเปลี่ยนทันทีไม่ได้ ผมหายจากมะเร็งได้ผมโชคดีมาก อาทิตย์เดียวผมเปลี่ยนจิตได้เลย มันเหมือนมีอะไรมาดลใจ รู้ทางเลย แต่ก่อนสอนนักศึกษาสอนได้หมด พอเจอกับตัวเอง ลืมหมด แก้ไม่ถูกเลย พอแก้ได้ อาทิตย์เดียว
หน้ามือเป็นหลังมือเลยทั้งที่จะตายอยู่แล้ว ตอนนั้นแหละที่ว่าผมหนัก มากๆ ลูกสามคนมาเยี่ยม ช่วงนั้นผมใกล้จะเสียชีวิตแล้วลูกสามคนมาให้กำลังใจ ผมก็คิดว่าถ้าเราจะสู้ซักตั้ง เราจะรอดมั้ยเพราะมะเร็งไม่เคยให้โอกาสใครครั้งที่ ๒ อีกเลย ก็ลองดู วันนั้นนอนหมดกำลังใจอยู่ ก็คิดได้ หลังจากนั้นไม่ถึงอาทิตย์แก้เรื่องจิตได้ ก็หายวันหายคืนกระทั่งทุกวันนี้ ความเกลียดชัง ความเครียด หรือมีอะไรมากระทบจิตใจ อยู่ในตัวผมไม่เกิน ๑ นาทีเด็ดขาด ผมต้องแก้ให้ได้ เพื่อเปลี่ยนอารมณ์เป็นตรงกันข้ามทันทีพระพุทธองค์ท่านบอกว่า จิตอยู่ที่ไหน พลังอยู่ที่นั่น ไอน์สไตน์มีความเชื่อว่า พลังที่รุนแรงที่สุด มีอำนาจที่สุดในโลกนี้ สู้พลังจิตไม่ได้ แม้แต่ตัวท่านเองที่สามารถคิดค้นปรมาณูได้ว่ามีพลังมหาศาล แต่ก็สู้พลังจิตไม่ได้ ท่านจึงหันมานับถือศาสนาพุทธ กินมังสวิรัติเพื่อที่จะได้ศึกษาเรื่องจิต ปรากฏว่าไม่มีใครที่จะให้ความรู้ให้ท่านได้เพียงพอเกี่ยวกับแนวทางการทำสมาธิท่านก็เลยไม่สำเร็จ เสียชีวิตก่อน ผมติดใจที่ไอน์สไตน์นับถือศาสนาพุทธทั้ง ๆ ที่เป็นยิว

- ตั้งแต่เป็นมะเร็ง คุณหมอไม่ได้รักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันเลยใช่ไหมครับหรือว่าเคยรักษาแล้วแต่ไม่ได้ผลไม่รักษาเลย เพื่อนบอกว่าต้องผ่าตัดก็ไม่เอา เพราะมันไม่ใช่ทางนี้ คือเรารู้มาอย่างละเอียดแล้วว่าเราชนะจิตใจเราได้มั้ย ถ้าเราควบคุมจิตเราได้ ก็จบ แต่ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เราก็ตาย ผมมีเพื่อนเป็นโปรเฟสเซอร์ทั้งผัวเมีย เป็นมะเร็งตายทั้งคู่ เขารักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบัน คือผ่าตัดและคีโม แต่ผมไม่เอา อันที่จริงผมสนใจเรื่องการรักษาแบธรรมชาติมานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสได้ใช้จนกระทั่งเป็นมะเร็ง แล้วสนใจมาทดลองกับตัวเองจนหาย ตอนหลังมีโอกาสได้ใช้กับคนไข้เยอะมากก็เห็นว่ามีผลดีและหายแบบยั่งยืนเสียด้วย ก็เลยศึกษามาเรื่อย ๆ



- คนปรกติต้องการโปรตีนวันละกี่กรัมครับคนปรกติต้องการโปรตีนไม่เกิน ๓๕ กรัมต่อวันฉะนั้นคนที่เป็นมะเร็งลำพังโปรตีนที่ได้จากข้าวกล้อง พืชผัก ผลไม้ก็พอเพียงแล้ว พออาการค่อยยังชั่วหน่อยเราก็กินเห็ดซึ่งมีโปรตีนสูงและมีเกลือแร่มากที่สุด มีมากกว่าเนื้อแดงด้วยซ้ำ แต่เห็ดที่มีคุณภาพสูงมากที่สุดคือเห็ดมิตาเกะที่ญี่ปุ่นขายแพงมาก มันมีสารที่ป้องกันมะเร็งและสารที่สร้างภูมิต้านทานสูงมาก สารตัวนี้เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งแต่เป็นโปรตีนที่มีประโยชน์อาหารอย่างที่ต้องลดคือแป้งขัดขาว น้ำตาล ของหวาน อย่างข้าวขาวนี่เวลาย่อยแล้วเปลี่ยนเป็นน้ำตาลได้เร็วมาก หากเราใช้ไม่หมดมันจะถูกส่งไปเก็บไว้ในตับหรือในกล้ามเนื้อเวลาร่างกายต้องการจะดึงกลับมาใช้อีก พอเหลือมันกลับไปเป็นไขมัน บางคนบอกว่าฉันไม่ได้กินไขมันเลย ทำไมฉันยังอ้วนก็ไม่รู้ ก็เล่นกินขนมขบเคี้ยวไม่หยุด ของพวกนี้มันเปลี่ยนเป็นไขมันได้ตับเปลี่ยนไขมันหรือน้ำตาลเป็นโปรตีน และยังเปลี่ยนน้ำตาลกลับมาเป็นโปรตีนและไขมัน

- แป้งขัดขาวทำปฎิกิริยากับร่างกายอย่างไรครับเวลากินของหวาน กินข้าวขาวเข้าไปร่างกายจะเปลี่ยนเป็นกลูโคสมาเลี้ยงสมองได้เร็วมาก สดชื่นได้เร็วมาก ระดับน้ำตาลขึ้น ปรู๊ดเลย พอน้ำตาลในเลือดมากสมองจะกระตุ้นให้ตรงนี้ขับอินซูลินออกมา เพื่อเผาผลาญน้ำตาลที่กินเข้าไปให้เป็นพลังงาน วิตามินที่จะมาช่วยเผาผลาญ คือ วิตามินบีคอมเพล็กซ์ แต่ข้าวที่เรากินเข้าไปไม่มีวิตามินบีเพราะขัดออกหมดแล้ว ฉะนั้นต้องดึงวิตามินในร่างกายออกมาเผาผลาญ ร่างกายเราก็ขาดวิตามินบีทำให้ระบบประสาทเกิดเหน็บชาและตับอ่อนทำงานหนักที่สุด เพราะเมื่อกลูโคสขึ้น สมองไฮโปเทมัสส่วนนี้สั่งให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมาเพื่อเผาผลาญน้ำตาลให้ลดลง และมันผลิตออกมามากซะด้วย แป๊บเดียวน้ำตาลลดฮวบเลย เพราะฉะนั้นพวกกินข้าวขาวหรือของหวานจะหิวไม่หยุด ยิ่งกินน้ำตาลมากเท่าไหร่ ตับอ่อนยิ่งทำงานหนัก ตอนน้ำตาลลดนี่จะอารมณ์ไม่ดี หงุดหงิดเลย พวกคนอ้วนเป็นเบาหวานต้องระวัง จะดุมาก ตอนกินจะอารมณ์ดี พอถูกเผาผลาญหมด แป๊บเดียวจะอารมณ์เสียแล้ว เหมือนที่โบราณเขาพูดว่า อยากให้หมาดุให้กินของหวาน ช่วงที่มันกินของหวานจะอารมณ์ดี แจ่มใส พอแป๊บเดียวมันหิวแล้ว ระวังให้ดีมันจะกัดได้ คนก็เหมือนกันเลยที่อเมริกาไม่รู้คุกไหน หลายปีมาแล้ว เขาแบ่งนักโทษฉกรรจ์เป็นสองพวกพวกหนึ่งให้หยุดกินของหวานหมดเลย กินแต่ขนมปังโฮลวีต อีกพวกหนึ่งให้กินแต่ของหวานปรากฏว่าภายในอาทิตย์เดียว พวกแรกนิสัยใจคอเย็นลง ส่วนพวกหลังฆ่ากันเองตายหลายศพ

- คนที่เป็นโรคไหลตายมีรายงานว่าอาจจะเกิดจากการกินแป้งมากเกินไปด้วย
ส่วนมากโรคไหลตายเกิดจากหัวใจหยุดกะทันหันพวกที่กินไขมันหรือกินของหวานมาก ๆ ก่อนนอนหรือกินอาหารมื้อหนักก่อนนอน เมื่อมีไขมันมากอยู่แล้ว พอกินเข้าไปตอนกลางคืนไขมันจะเพิ่มขึ้นสูงมากจึงมีโอกาสสูงที่ไขมันจะอุดตันที่สมองหรือหัวใจ สังเกตว่าพวกที่ตายกลางคืนทั้งหลาย ก่อนนอนคืนนั้นมักกินอาหารหนัก ส่วนมากเป็นคนที่มีไขมันในเลือดสูง อย่างเป็นความดันก่อนนอนแทนที่จะกินอาหารเบาๆ หรือกินพืชผักผลไม้ เล่นกินอาหารหนักเลย พลังงานเมื่อไม่ได้ใช้ไขมันก็ขึ้นสูง หัวใจทำงานหนักเนื่องจากกระเพาะทำงานหนัก เรานอนปิดแต่ตา แต่ทุกอย่างยังทำงานหนักพลังงานก็ไม่ได้ใช้ ไขมันไปเพิ่มอีก คนที่ไขมันมาก ๆ เส้นเลือดตีบอยู่แล้ว มันจะอุดตันตรงไหนก็ได้ ผมสังเกตดู ถ้าคนสุขภาพดี ไม่กรน ไม่ได้เป็นโรคหัวใจกับเส้นเลือดมาก่อนและไม่ได้กินอาหารหนักก่อนนอน คุณจะไม่เป็นเด็ดขาด แต่ส่วนมาก พวกที่ไหลตายเป็นคนอีสาน ชอบของหวานมาก การพักผ่อนก็ไม่พอก่อนนอนกินหนักมาก

- นอกจากน้ำตาลแล้ว เกลือก็ต้องลดด้วยใช่ไหม
โซเดียมคลอไรต์หรือเกลือต้องลดลงให้มากในร่างกายเราประกอบด้วยโซเดียมสูงมากอยู่แล้วแต่ถ้าเรากินเข้าไปมาก พอมันเข้าไปในกระแสเลือดมาก มันจะดูดน้ำในตัวเรา สังเกตพวกกินเค็มหรือไตไม่ดี เท้าจะบวม เกลือมันจะทำให้เลือดเราเป็นกรด คนที่สุขภาพดีเลือดต้องเป็นด่างนิดหน่อยแต่ถ้ากินเค็มเข้าไปเลือดจะเป็นกรดภูมิต้านทานจะไม่มีเพราะกินเกลือเข้าไปจะไปขับโปแตสเซียมทำให้เลือดไม่เป็นด่างนอกจากลดกรดแล้ว ให้เพิ่มโปแตสเซียมเข้าไปในร่างกายเพื่อให้เลือดเป็นด่างเนื่องจากคนที่เป็นมะเร็งจะเครียด ไม่สบาย พอเครียด ร่างกายจะเกิดกรด จะมีคาร์บอนสูงมากเราจึงให้กินน้ำต้มผัก ซึ่งมีโปแตสเซียมสูงที่สุด ที่เราเจ็บ ร่างกายอ่อนเพลียเพราะเราขาดโปแตสเซียม แต่ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมากเกินก็ไม่ดี เราต้องดูผลเลือดการแก้เลือดเป็นกรด แก้ได้สองอย่างกินพืชผักผลไม้ให้มากๆเพื่อเพิ่มโปแตสเซียม อีกอย่างคือหายใจเอาออกซิเจนเข้ามามากๆเพราะยิ่งออกซิเจนเข้าไปในเลือดมากเท่าไหร่ยิ่งทำให้เลือดเราเป็นด่าง แต่ถ้าเราไม่ฝึกหายใจเอาออกซิเจนเข้าไป เลือดเราเป็นกรดเพราะเลือดเราจะมีคาร์บอนไดออกไซด์สูงมาก พวกนี้จะปวดเมื่อยร่างกายมาก เขาจึงให้ฝึกหายใจเพื่อเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป แล้วเอาออกซิเจนเข้ามา มันถึงจะหายปวดเมื่อยมนุษย์อดอาหาร ๔๕-๕๐วันยังอยู่ได้ อดน้ำได้ ๓-๕ วัน แต่อากาศหายใจ ขาดเพียง ๘-๑๐ นาทีเท่านั้น อาหารที่สำคัญที่สุดของร่างกายไม่ใช่สารอาหาร แต่เป็นออกซิเจนที่สูดเข้าไปทำให้เลือดเราเป็นด่าง การที่เรานิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ออกกำลังกาย จะมีคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดสูงมากทำให้เลือดเป็นกรด มันจะเมื่อยล้า

- คุณหมอพอจะแนะนำหลักการหายใจอย่างถูกต้องได้ไหมครับ
เงยหน้าเพื่อให้อากาศเข้ามากที่สุดเวลาหายใจเข้าพยายามให้เข้าทางรูจมูกเท่านั้น เพราะมันจะมีเครื่องกรองคือขนจมูก และจะมีเยื่อเมือก ๆ กรองด้วย การหายใจเข้าให้ปอดพองมากที่สุดสามครั้งติด ๆ กันเลย ครั้งแรก กลั้นไว้ ครั้งที่ ๒ กลั้นไว้ ครั้งที่ ๓กลั้นไว้ เหมือนใจจะขาด พอครบสามครั้ง ค่อย ๆ โน้มตัวลง อ้าปากเอาพิษออกให้หมด ยิ่งทำบ่อยเท่าไหร่ปอดท่านยิ่งมีพลัง มะเร็งปอดจะไม่เป็น เพราะออกซิเจนเข้าไปเต็มที่ ของเสียออกมาเต็มที่ ปอดมีความจุสองข้างประมาณ ๓ลิตรครึ่งถึง ๔ ลิตรครึ่ง แต่ถ้าเรายังหายใจแบบธรรมดาอยู่อากาศเข้าออกเพียงครึ่งลิตรเท่านั้นบางทีของเสียไม่ได้ออกเลย เหมือนหม้อกรองอากาศไม่เคยเป่าหม้อกรองตัวเองเลย ปอดของเราคือหม้อกรองอากาศ เราต้องช่วยตรงนี้มาก ๆ เราเปลี่ยนปอดไม่ได้แต่เราต้องบริหารการหายใจ จะทำห้ปอดมีประสิทธิภาพที่สุด

- แล้วพวกนักกีฬาที่ออกกำลังกายโดยการเตะฟุตบอลนั่นไม่ใช่การออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์แต่เป็นการออกกำลังกายที่เกิดโทษแก่ร่างกาย เป็นunaerobic เราต้องรู้ว่าการออกกำลังกายแบบ aerobic กับ unaerobic เป็นยังไง การออกกำลังกายแบบ aerobic ร่างกายต้องเกิดด่างได้ออกซิเจน แต่ unaerobicได้คาร์บอนไดออกไซด์ทำให้ร่างกายเกิดกรด ร่างกายเสื่อม คนที่ไปเต้นแอโรบิกทุกวันนี้ยังทำผิดเต้น ๆ แล้วเกร็ง เครียดกลัวจะไม่ถูกจังหวะ ชื่อแอโรบิก แต่ไม่ใช่แอโรบิก แอโรบิกทำแบบไหนก็ได้ไม่ต้องเครียด ให้สนุกสนาน ถ้าเครียดร่างกายจะเกิดกรด ฉะนั้นการแข่งกีฬาทุกวันนี้เป็นการทำลายสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและจิต คนไม่เล่นก็สุขภาพจิตเสีย เพราะต้องลุ้นแข่งขันกัน เครียดมั้ยฉะนั้นนักกีฬาที่เล่นทุกวันนี้ นักฟุตบอล นักเล่นกล้าม นักวิ่ง มีใครอายุยืน... ไม่มีเลยเพราะร่างกายมันเสื่อม มีการพิสูจน์แล้วว่าการออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือการเดินเร็วและให้ถูกแสงแดด เพราะมันไม่เครียดไม่เหนื่อย ไม่เกร็งและเป็นการออกกำลังกายชนิดเดียวเท่านั้นที่ทำให้ระบบประสาทส่วนกลางได้สมดุล

- คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด
อาหารธรรมชาติอย่างพืชผักผลไม้ มะเร็งไม่ชอบแต่มีวิตามินสูง คนเป็นมะเร็งต้องกินอาหารพวกนี้คนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย จึงขาดพวกเกลือแร่ เอนไซม์วิตามิน ฉะนั้นหมอจึงแนะนำให้กินพวกเกลือแร่ วิตามิน เอนไซม์เข้าไปช่วยสรุปแล้วคนเป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้เพราะต้องการให้ก้อนมะเร็งอดอาหารแต่ไม่ให้ขาดเกลือแร่ วิตามินเพราะมันจำเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภทใดก็ต้องให้หมอตรวจเลือด เพื่อจะรู้ว่าร่างกายเราขาดอะไรก่อน

- การหยุดขยายก้อนมะเร็งนอกจากการเลือกกินอาหารแล้ว มีอะไรอีกครับด้วยการกินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวมเขาบอกว่าวิตามินซีต้องได้อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อวัน ในร่างกายเรามีเซลอยู่ประมาณ ๗๕,๐๐๐ ล้านเซล เซลล์ดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียกว่า....เหมือนเป็นเสื้อเกราะไม่ให้มะเร็งเข้ามาทำลายได้ แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้วเยื่อหุ้มเซลจะไม่มีแถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า... ซึ่งเป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้จะไปทำลายเสื้อเกราะของเซลอื่น ทำให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปเรื่อย ๆ แต่พอวิตามินซีเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้ มะเร็งก็ไม่ขยายตัวนอกจากนี้วิตามินซีเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลงได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้เจ็บปวดเวลาฉีดวิตามินซี ทำไมคนไข้สงบเร็วเพราะมันไปลดอีเอสอาร์หรือลดตะกอนเม็ดเลือดแดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่หมายความว่าเกิดการอักเสบหรือเกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้นคนปรกติให้กินวิตามินซี ๔-๕ พันมิลลิกรัมต่อวัน แต่ถ้าคนที่อยู่ในเมืองมีมลภาวะ อย่างน้อยต้อง ๖พันมิลลิกรัมขึ้นไป ประเทศที่กินวิตามินซีสูงมาก ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะดีมาก แล้วหน้าตาเขาจะดี ประเทศที่กินมากที่สุดคือสวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่กินเนื้อสัตว์มาก

- เรากินวิตามินซีจากส้มเพียงพอหรือไม่ท่านทราบหรือไม่ว่าส้มลูกหนึ่งมีวิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัมหมายความว่าต้องกินจากต้น แต่ถ้าส้มหนึ่งลูก เก็บไว้เจ็ดวัน จะเหลือ ๑ มิลลิกรัมเท่านั้น วิตามินซีหายหมดเลยดังนั้นถ้าคุณจะกินส้มให้ได้ ๔พันมิลลิกรัม ต้องกินส้มสี่พันลูก

- กินวิตามินซีมาก ๆ ทางการแพทย์บอกว่าอาจจะมีปัญหากับระบบปัสสาวะวิตามินซีอยู่ในเลือดเราได้ ๒ ชั่วโมงแล้วจะถูกขับออกมาแต่ก่อนเขาบอกวิตามินซีพอกินเข้าไปปั๊บร่างกายเราจะเปลี่ยนเป็นออกซาลิกเอซิด แล้วพอตกไปกระเพาะปัสสาวะมันจะเป็นนิ่ว แต่เปอร์เซ็นต์มันน้อยเหลือเกิน ทฤษฎีมันว่าอย่างนั้นจริงแต่อัตราการเกิดมีน้อยมากเพราะปรกติมันจะออกมากับปัสสาวะ ถ้าเราดื่มน้ำ มันจะออกหมดภายในสองชั่วโมงไม่ได้สะสม บางคนพอกินวิตามินซีเข้าไปดื่มน้ำน้อยวิตามินซีมีสามรูป แอสคอมิกเอซิด แคลเซียมแอสคอเบด โซเดียมแอสคอเบด อย่างพวกวิตามินซีชีวภาพ เขาจะเอาทั้งสามอย่างมารวมกัน แอสคอมิกเอซิด เป็นกรด แคลเซียมแอสคอเบดกับ โซเดียมแอสคอเบดเป็นด่าง เพื่อที่จะลดกรดลงถ้าเรากินวิตามินซีพวกนี้เข้าไป จะไม่ค่อยมีปัญหาแต่วิตามินซีที่เรากินทั่วไปจะเป็นแอสคอมิกเอซิด ซึ่งเป็นกรด กินเข้าไปแล้วขับถ่ายออกมาเร็ว ถ้าเรากินน้ำน้อย ตะกอนพวกนี้ไปตกที่กระเพาะปัสสาวะ จะแสบฉะนั้นจึงบอกให้ดื่มน้ำมาก ๆ

- เหตุใดคุณหมอให้ความสำคัญกับการกินวิตามินมากครับคนเราทุกวันนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนสิ่งแวดล้อมทำให้เรารับอนุมูลอิสระหรือสิ่งมีพิษเข้าไปในร่างกายเราจะต้องกินพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ เข้าไปมากที่สุดเพื่อต่อสู้กับมลภาวะพวกนี้ฉะนั้นเรากินแค่นั้นไม่เพียงพอ ตามปรกติจะให้ร่างกายแข็งแรง ต้องได้วิตามินซีไม่ต่ำกว่า ๔-๕กรัมต่อวัน เป็นขนาดที่เพียงพอสำหรับให้ท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้นไม่ได้เพียงพอที่จะสร้างภูมิต้านกินหรือต่อสู้เชื้อโรค คนในเมืองจึงเป็นหวัดกันไม่หยุดเลย ก็ลองกิน ๖-๑๒ กรัมดูซิว่าตอนที่เราอยู่ในเมืองเราเป็นหวัดหรือไม่ ไม่เป็นหรอก แต่ที่ผ่านมาเราไปยึดตำราของกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกาของแพทย์ตะวันตกที่ให้กินวิตามินซีได้นิดเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว จึงมีการสอนกันว่าเรื่องการให้เกลือแร่ วิตามินต้องขึ้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น

-หลักการป้องกันมะเร็งของคุณหมออีกประการคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายก็คือการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวใช่ไหมพอเราเกิดมาปุ๊บ จะมีทหารมาคุ้มครองเรา คือเม็ดเลือดขาวปรกติในหนึ่งตารางมิลลิเมตรจะต้องมีเซลเม็ดเลือดขาวระหว่างห้าพันถึงหนึ่งหมื่น ถ้าเลือดเราอยู่ในเกณฑ์นี้ หมายถึงว่าร่างกายเราแข็งแรง ร่างกายเราพอเกิดมาก็มีสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเราแล้ว คือโรคที่เกิดจากเชื้อโรคทำให้เราไม่สบาย แต่ก็ยังมีความป่วยไข้อีกอย่าง เป็นโรคที่ไม่ใช่เชื้อโรคแต่เป็นโรคแห่งความเสื่อมของร่างกายเช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ฯลฯในร่างกายคนเราทุกคนมีเซลมะเร็งเหมือนบ้านเมืองนี้ มีโจรแต่ยังไม่ได้ปล้น คนที่ยังไม่ได้เป็นมะเร็งคือมันยังยึดไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารหรือภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งอยู่ เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่ยังแข็งแกร่งพวกนี้ก็อาศัยอยู่เฉยๆ แต่เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่อ่อนแอพวกนี้เล่นงานก่อนนอนก็ไม่ได้นอน ไปเที่ยวกลางคืนกำลังกายก็ไม่ออกทหารตำรวจก็อ่อนแอมะเร็งก็เล่นงานเลย

- มีวิธีสร้างภูมิต้านทานกันอย่างไรทำได้หลายวิธี อาทิออกกำลังกายหรือเดินให้ได้รับแสงแดด แสงที่สะท้อนบนลูกตาจะไปกระตุ้นต่อม ไพเนียลใต้สมองให้หลั่งสารเอ็นโดฟินออกมาซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เป็นความสุข และระงับความเจ็บปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีน ๒๕๐ เท่า เมื่อหลั่งออกมา เรามีความสุข มองโลกในแง่บวกทันที พอไม่เจ็บ มันก็สดชื่นขึ้นมาทันที ฮอร์โมนหลั่งทันทีมันไปกระตุ้นต่อมไทรอยและต่อมต่าง ๆ ในร่างกายของเรา ให้ผลิตเม็ดเลือดขาวออกมาทันทีเลย นั่นหมายถึงว่าเริ่มสร้างภูมิต้านกินแล้ว และการยิ้มหัวเราะคลายเครียดแต่ละครั้งก็หลั่งเอ็นโดฟีนออกมาด้วยนอกจากนี้แสงอุลตราไวโอเลตยังเปลี่ยนคลอเลสเตอรอลให้เป็นวิตามินดี วิตามินดีจะไปช่วยให้ แคลเซี่ยมที่อยู่นอกกระดูกกลับเข้าไปในกระดูก ลดคลอเลสเตอรอล ทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ช่วยในการดูดซึมของฟอสฟอรัส แคลเซี่ยมแมกนีเซียม ในทางเดินอาหารให้ได้ดี วิตามินดีที่เรากินเข้าไปสู้วิตามินดีที่เราได้จากธรรมชาติจาก
แสงอุลตราไวโอเลตไม่ได้